อย่างที่ทราบกันดีว่า ทุกเว็บไซต์ต้องการอยู่อันดับ 1 บน Google โดยไม่ต้องพึ่งการทำ backlinks หรือ update content อยู่เสมอ Featured snippet จึงเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่ดี
Featured snippet เป็นการรวบรวมข้อมูล คำตอบจากการค้นหาของผู้ใช้ โดยนำบทความที่ใกล้เคียงจากเว็บไซต์อันดับต้นๆ มาแสดงด้านบนสุด ดังนั้นมาเริ่มกันเลยว่าต้องทำอย่างไรบ้างเพื่อให้ติด Google’s Featured snippet
Featured Snippet คืออะไร
ส่วนบนสุดที่แสดงอยู่บน Google เมื่อทำการค้นหา โดยอาจจะแสดงเป็นข้อความ รูปภาพ หรือ วิดีโอ จากเว็บไซต์ที่มีข้อความที่เกี่ยวข้องการค้นหา ผู้ใช้สามารถดูข้อมูลได้ทันทีจาก Google และหากต้องการดูข้อมูลเพิ่มเติมก็คลิกไปยังเว็บไซต์นั้นๆ
ทำไม Featured Snippets ถึงสำคัญ
อย่างที่เราทราบกันดีว่า Featured Snippets คือส่วนบนสุดของ Google และเป็นส่วนที่น่าคลิกมากที่สุด นอกจากนี้ยังบ่งบอกถึงความน่าเชื่อถือของ Brand
SEMRush เคยกล่าวไว้ว่า Featured Snippets ที่โชว์บนมือถือ กินสัดส่วนมากกว่า 50% ของพื้นที่มือถือทั้งหมด และมีโอกาสที่จะถูกแสดงบ่อยๆ สำหรับ long-tail keywords และนำไปสู่การเกิด Conversion ที่ดี
นอกจากนี้ หากเว็บไซต์ของคุณถูกแสดงเป็น Featured Snippets แล้ว ยังเป็นการเพิ่มโอกาสเปลี่ยนจาก Visitor เป็นลูกค้าจริงๆ ได้ เพราะ Visitor ได้รับข้อมูลที่น่าเชื่อถือ เพียงพอ ในการตัดสินใจ
ประโยชน์อื่นๆ ของ Featured Snippets
- สามารถดู Audience behavior insights ว่าผู้ชมต้องการอะไรและเข้ามาในเว็บไซต์คุณช่วงไหน
- ความน่าเชื่อถือของ Brand ที่สูงขึ้น ทั้ง Google และ ผู้ชมมีความรู้สึกว่าได้รับข้อมูลหรือบทความที่เขียนจากผู้เชี่ยวชาญ
- CTR ที่สูงขึ้นอย่างแน่นอน
Featured Snippets มีแบบไหนบ้าง
- บทความ
- Numbered list
- Bullet list
- ตาราง
- วิดีโอ
และอย่าสับสนกับ Snippet อื่นๆ ที่โชว์อยู่บน Google ตามด้านล่างนี้
- Knowledge panel
- Knowledge card
- Entity carousel
Snippet ทั้ง 3 อันนี้ จะดึงขึ้อมูลมาจากหลายที่ โดยอาจจะแสดงเป็น link หรือ Source of information เช่น เนื้อเพลง
สถิติ Featured Snippet
ข้อมูลจากการรวบรวมของ SEMRush และ Brado มากกว่า 160 ล้าน keywords จาก Desktop และ 46.1 ล้าน keywords จากมือถือ
- 19% of SERPs มี featured snippets
- 7.3% of SERPs โชว์ 2 featured snippets
- Featured Snippet กินพื้นที่ 50% of a mobile screen
- 70% of featured snippets เป็น บทความ (เฉลี่ย 42 คำ / 249 ตัวอักษร)
- 19.1% of featured snippets เป็น Bullet (เฉลี่ย 6 Bullet /44 คำ)
- 6.3% of featured snippets เป็น ตาราง (เฉลี่ย 5 แถว 2 คอลัมน์)
- 4.6% of featured snippets เป็น วิดีโอ (เฉลี่ย 6 นาที 35 วินาที)
- หมวดหมู่ที่ถูกแสดงใน Featured Snippet ส่วนใหญ่จะเป็น
- ท่องเที่ยว
- คอมพิวเตอร์ / อิเล็กทรอนิกส์
- ศิลปะ / บันเทิง
- วิทยาศาสตร์
Featured Snippet ส่วนมากจะถูกแสดงเมื่อเป็น long-tail keywords จากสถิติถูกพบว่า หากค้นหา 10 คำ Featured Snippet จะถูกโชว์ 55.5% แต่ถ้าเป็นคำเดียวจะถูกโชว์เพียง 4.3%
Featured Snippets มีผลอย่างไรบ้างกับ Search และ SEO
- Shortcut ในการติดอันดับต้นของ SEO
- จำนวนคลิกอาจจะน้อยลง
- ความน่าเชื่อถือแบรนด์เพิ่มขึ้น
ถ้าเว็บไซต์ของคุณติดอันอันแรกของ Google คุณมีโอกาสที่จะเป็น Featured Snippets สูงมาก ซึ่งโดยปกติแล้ว Featured Snippets จะถึงมาจากเว็บไซต์ที่ติด Top 10 แต่ส่วนใหญ่คือ อันดับ 1 – 5
แต่อย่างไรก็ตาม ก็ยังมีนัก SEO หลายท่านเชื่อว่า Featured Snippets ส่งผลให้จำนวนคลิกน้อยลง ในทางกลับกันหากเว็บไซต์ได้อยู่ที่ Featured Snippets โอกาสด้านอื่นๆ ย่อมมีมากกว่า
ทำอย่างไรให้ติด Featured Snippet
- เลือก Keyword ที่เหมาะสม
อย่างที่เราทราบกันดี Featured Snippet จะโชว์เมื่อเป็น long-tail keywords ซะมากกว่า ดังนั้นในการเลือก keywords ควรจะเป็น long-tail มากกว่า short-tail เช่น วิธีการป้องกันตัวเองจาก Covid-19 แทนที่จะเป็น Covid-19 - เขียนบทความที่จินตนาการจากคำถาม
พยายามคิดว่าผู้ใช้น่าจะถามคำถามแบบไหน แล้วเขียนคำตอบในเว็บไซต์ เช่น ผู้ชมอาจจะค้นหาคำว่า “ป้องกัน Covid-19 ได้อย่างไร” ดังนั้น บทความที่เขียนจะเป็น วิธีการป้องกันตัวเองจาก Covid-19 หรือ ถ้าคำถามที่ไหน Google มักจะเลือกที่เป็นสถานที่ขึ้นมาแสดง ดังนั้น เราอาจจะเขียนบทความแสดงสถานที่พร้อมใส่ Google map ไปในบทความ - เลือก format ของบทความ
Featured Snippet มีทั้งหมด 4 แบบ คือ บทความ, list, ตาราง หรือ วิดีโอ ดังนั้นบทความที่เขียนต้องเลือก format ให้ถูกต้องด้วยว่าควรจะเป็นแบบไหน เช่น ถ้าเป็นวิธีการทำอาหาร เนื้อหาก็ควรเป็นแบบ Bullet point เป็นต้นนอกจากนี้ ควรเขียนบทความให้กระชับ ประมาณ 40-50 คำ หรือ 250-300 ตัวอักษร อยู่ต้นๆ ของบทความ*สิ่งที่ควรรู้สำหรับ รูปภาพที่แสดงใน Featured Snippet อาจจะไม่ได้ดึงมาจากเว็บไซต์เดียวกัน เพราะ Google ใช้ Algorithm คนละแบบระหว่าง รูปภาพและ บทความ หากต้องการให้ Google ดึงรูปมาแสดงด้วย ควรเลือกรูปภาพที่มีความยาว 159 pixels ความกว้าง 197 pixels หรือ 160 x 200px แต่ถ้าจะให้ดีสุด ควรทำไซส์ใหญ่ไปก่อนที่ 960 x 1200px - ใส่วันที่ในบทความ
การใส่วันที่ในบทความ มีการถกเถียงอยู่มานานว่าควรใส่ดีหรือไม่ เพราะถ้าต้องการให้บทความอยู่นานแล้วไม่ได้ update ก็กลัวว่าบทความจะดูเก่าไป แต่อย่างไรก็ดี มีนักเชี่ยวชาญหลายท่านได้บอกประโยชน์ของการใส่วันที่เข้าไปดังนี้- การใส่วันที่ดีสำหรับผู้อ่านมากกว่า เพราะจะช่วยให้ผู้อ่านไม่สับสน
- การใส่วันที่เป็นการสร้างความน่าเชื่อถือว่าเป็นข้อมูลที่อัพเดทและใหม่
- Algorithm อาจจะโชว์เพื่อต้องการแสดงที่มาของความสดใหม่ของบทความ
- มีผลต่อ CTRอย่างไรก็ดี เราแนะนำให้ใส่วันที่ และ monitor page, engagement และอัพเดทข้อความให้ใหม่อยู่เสมอ เพราะผู้อ่านจะรู้วันที่สร้างบทความและวันที่อัพเดทอยู่เสมอ
- ใช้ Subfolders ให้ถูกต้อง
Subfolder คือ text ที่อยู่หลังจาก Slashes
- domain.com คือชื่อโดเมน ไม่มี subfolder
- domain.com/subfolder มี 1 subfolder และ
- domain.com/subfolder1/subfolder2 มี 2 subfoldersDomain ที่ยาวเกินไป โอกาสที่จะติด Featured Snippet ก็ยิ่งน้อยลงไปเท่านั้น ดังนั้น 1-3 subfolders จะดีที่สุด และควรสร้าง Subfolder ให้ถูกต้องตามหมวดหมู่ เช่น domain.com/seo/featured-snippet แทน domain.com/blogคำแนะนำสำหรับการสร้าง Subfolders
- domain.com/main-topic/subtopic-a/
- domain.com/main-topic/subtopic-b/
- domain.com/main-topic/subtopic-c/
Content Can’t Stand Alone
ถึงแม้ content จะดีมากแล้ว แต่ถ้าขาดการดูแลเอาใจใส่ ก็จะไม่มีประโยชน์เลย เสียแรงเปล่า ดังนั้น เมื่อเขียน content และ publish แล้ว ต้องขยันตรวจตราเว็บไซต์เสมอ
- ติดตามผลและอันดับของ keywords อยู่เสมอ
- ก่อนที่จะมีคู่แข่งติด Featured Snippet ต้องพยายามเขียนและอัพเดทบทความอยู่เสมอ
Source: https://www.fastcomet.com/blog/featured-snippets-optimization